Lower Explosive Limit การป้องกันการติดไฟ และการระเบิด จากบทความที่ผ่านมาทางบริษัทได้กล่าวถึงก๊าซหลายๆ ชนิด รวมถึงก๊าซออกซิเจนซึ่งมีความสำคัญในการหายใจของมนุษย์ แต่มีอีกหน้าที่หนึ่งของออกซิเจนที่ยังต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย คือ เป็นองค์ประกอบหนึ่งของการทำให้ติดไฟ หรือเราอาจจะเรียกอีกอย่างว่า องค์ประกอบ 3 อย่างที่ทำให้เกิดการจุดติดไฟ ซึ่งจะมีหัวข้อดังต่อไปนี้ 1. มีสารไวไฟในปริมาณเพียงพอที่จะจุดติดไฟได้ (Flammable Material in Ignitable Quantities) 2. มีออกซิเจนในปริมาณที่เพียงพอให้เกิดการเผาไหม้ (Oxygen) 3. มีแหล่งจุดติดไฟ (Ignition Source) ทําให้เกิดพลังงานความร้อนที่มากพอกับส่วนผสมของ สารแต่ละชนิดมีคุณสมบัติในการจุดติดไฟต่างกัน ดังนั้น การมีออกซิเจน การจุดติดไฟและสารไวไฟ รวมกันก็อาจจะไม่ทําให้เกิดการระเบิดหรือการลุกติดไฟขึ้นได้ คุณสมบัติที่สําคัญของสารไวไฟที่ปนเปื้อนในอากาศและทําให้เกิดสภาพบรรยากาศที่จุดติดไฟได้ (Explosive Atmosphere) จะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบ 5 ประการ ดังนี้ 1. Lower Explosive Limit (LEL) คือ ปริมาณเปอร์เซ็นต์ของแก๊สหรือไอระเหยขั้นต่ำที่ผสมกับอากาศ จนเกิดเป็นส่วนผสมที่เหมาะสมที่จะทําให้เกิดการระเบิดได้ (Explosive mixture) แต่ถ้ามีปริมาณเปอร์เซ็นต์ของแก๊สไวไฟเจือปนในอากาศเข้มข้นน้อยกว่านี้จะไม่เพียงพอให้จุดติดไฟได้ 2. Upper Explosive Limit (UEL) คือ ปริมาณเปอร์เซ็นต์ของแก๊สหรือไอระเหยมากที่สุดที่ผสมกับอากาศ จนเกิดเป็นส่วนผสมที่เหมาะสมที่จะทําให้เกิดการระเบิดได้ (Explosive mixture) แต่ถ้ามีปริมาณเปอร์เซ็นต์ของแก๊สไวไฟเจือปนในอากาศเข้มข้นมากกว่านี้ก็จะไม่เพียงพอให้จุดติดไฟได้เช่นกัน
Flammable Limits Percent by Volume, อ้างอิงข้อมูลตามมาตรฐาน IEC (International Electrotechnical Commission) และ NEC (National Electric Code) 3. Flash Point คือ ค่าอุณหภูมิต่ำสุดที่ทําให้สารไวไฟในสภาพของเหลว เกิดการระเหยจนกลายเป็นไอระเหยในปริมาณเพียงพอให้เกิดการจุดติดไฟได้เหนือของเหลวนั้นๆ ของเหลวที่มีค่า Flash Point ต่ำกว่า 37.8 C (100 F) จะเรียกว่า “Flammable Liquid” ส่วนของเหลวที่มีค่า Flash Point สูงกว่า 37.8 C (100 F) จะเรียกว่า “Combustible Liquid” ถ้าเราจัดเก็บหรือใช้สารไวไฟในพื้นที่ที่มีอุณหภูมิต่ำกว่าค่า Flash Point ก็จะไม่ทําให้เกิดสภาพของพื้นที่อันตรายขึ้นได้ 4. Auto-Ignition Temperature คือ อุณหภูมิต่ำที่สุดที่ทําให้แก๊สหรือไอระเหยของสารไวไฟซึ่งผสมอยู่ในบรรยากาศจะเกิดลุกติดไฟได้เองโดยไม่จําเป็นต้องมีประกายไฟ ในพื้นที่ที่มีการรั่วไหลของแก๊สหรือไอระเหยของสารไวไฟ ถ้ามีการใช้งานเครื่องจักรกลหรืออุปกรณ์ไฟฟ้าซึ่งทําให้เกิดความร้อนสูงที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง(Hot Spot) โดยความร้อนที่เกิดขึ้นนี้มีอุณหภูมิสูงกว่าค่า Auto-Ignition Temperature ของแก๊สหรือไอระเหยนั้นๆ อาจจะทําให้สารไวไฟในบรรยากาศเกิดการลุกติดไฟขึ้นเองได้เช่นกัน 5. Vapor Density คือ ความหนาแน่นของแก๊สหรือไอระเหยของสารไวไฟเมื่อเทียบกับอากาศ ถ้าค่าความหนาแน่นของแก๊สหรือไอมากกว่า 1.0 แสดงว่า แก๊สหรือไอนี้หนักกว่าอากาศ เมื่อเกิดมีการรั่วไหล แก๊สหรือไอนี้จะลอยอยู่ในระดับต่ำ แต่ถ้าค่าความหนาแน่นของแก๊สหรือไอน้อยกว่า 1.0 แสดงว่าแก๊สหรือไอชนิดนี้เบากว่าอากาศ เมื่อเกิดมีการรั่วไหล แก๊สหรือไอนี้จะลอยขึ้นสูง ดังนั้นเมื่อเราเข้าไปในพื้นที่สุ่มเสียงที่อาจจะมีไอระเหยของสารไวไฟ ขอให้เราตระหนักถึงหลักการและเหตุผลรวมถึงองค์ประกอบที่ได้แนะนำไว้ เพื่อทำให้เราปลอดภัยจากไอระเหยของสารไวไฟ ซึ่งอาจนำมาซึ่งความสูญเสียที่เราทุกคนไม่ปรารถนา อ้างอิงข้อมูลจาก IEC, NEC และข้อมูลจากกรมโรงงานอุตสาหกรรม
อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องกับบทความ กลับไปหน้ารวมบทความ ชอบบทความนี้กด Like ด้านบนเพื่อเป็นกำลังใจให้ทีมงานด้วยนะคะ |